ราคาทองจะเด้งถึงไหน? หุ้นจะดิ่งลงอีกกี่สิบจุด?

24 เม.ย. 2568

ราคาทองกับหุ้นนั้น โดยปกติ มักจะวิ่งงสวนกันเนื่องจากทอง ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย หรือเงินปันผล ดังที่ผู้ฝากเงินจะได้จากการฝากเงินกับสถาบันการเงิน ปรือที่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะได้เงินปันผลตจากหุ้นตัวมี่ลงทุนซื้อไป ดังนั้น ในยามที่บ้านเมืองสงบดี ทองมักจะราคานิ่งๆ ไม่หวือหวามาก แต่เมื่อใดที่มีความสับสนวุ่นวายทางการเมืองเศรษฐกิจล่ะก้อ ทองเด้งทะลุฟ้าเลย 

เพราะในยามนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะดิ่งเหว เนื่องจากการค้าการขายจะย่ำแย่ บริษัทห้างร้านต่างๆ มักจะขาดทุน บางกิจการอาจจะถึงกับไม่สามารถคืนเงินกู้ที่ยืมมาลงทุนได้ ดังนั้นจะเกิดการเทขายหุ้นออกมามากมาย…ออกมาเป็นเงินสด ซึ่งไม่มีผลตอบแทน ดังนั้นนักลงทุนก็จะหาแหล่งที่จะนำเงินสดเข้าไปพักไว้ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งแหล่งที่ถือว่าปลอดภัยนั้นก็คือพันธบัตรรัฐบาลที่แม้จะมีผลตอบแทนคืออัตราดอกเบี้ยที่มัดจะต่ำกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็ถือว่าปลอดภัยกว่า เนื่องจากจะได้รับการค้ำประกันเงินต้นว่าไม่สูญหาย

และอีกแหล่งที่เป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ คือ ทอง ถือเป็นหลุมหลบภัยขั้นดี เนื่องจากราคาทองมักจะเด้งขึ้นสูงมาก จากในอดีต ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า ทองจะมีราคาสูงขึ้น เมื่อเกิดเหตุบ้านเมืองไม่สงบ

เดิมราคาทองมีเสถียรภาพมาก ในช่วงปี1930-1939 แค่ขยับจาก $20 เป็น $35 นี่ก็ถือว่าราคาขึ้นหวือหวามากแล้ว 

จนกระทั่ง ในช่วงปี 1940-1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดของเทรนด์ขาขึ้นของทอง 

แม้จะไม่ขึ้นมากนักหากเราจะเทียบกับ อัตราการเพิ่ม ที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพิ่มจาก $34.50 ในปี 1940 เป็น $43 ในปี 1947 ก็ถือได้ว่า ราคาทองเริ่มมีแนวโน้ม อัพเทรนด์ แล้วค่ะ เมื่อเทียบ จากเดิมที่มีสเถียรภาพมาก ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงของราคาทองมาก สาเหตุที่เริ่มเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้นเนื่องจากความสับสนของยุคหลังสงครามจบลง ผนวกกับมีความต้องการใช้ทอง ในอุตสาหกรรม เพิ่มมากขึ้น

หลังจากราคาขึ้นสูงสุดที่ $45 ราคาทองก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว และคลานกระดึบๆไม่ไปไหน ตลอดช่วงปี 1950-1967 เมื่อเศรษฐกิจเริ่มอยู่ตัว แล้วกลับเด้งสูงขึ้นมา อย่างชัดเจน เมื่อเกิดสงครามเวียดนาม  มีการขาดดุลของสหรัฐอเมริกาและการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ในสองปีถัดไป 

ในศตวรรษถัดมา ที่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติราคาน้ำมัน (เมื่ออาหรับระงับการส่งน้ำมัน โดยราคาน้ำมัน ทะลุขึ้นไปจากเดิม $24 ไปที่ $56 ในปี1974) ซึ่งนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดเงินเฟ้อต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเสื่อมของค่าเงิน ราคาทอง จึงมีความผันผวนเป็นอย่างมาก เนื่องจาก นักลงทุน หันไปซื้อทองเพื่อประกันความเสี่ยง หรือที่เราเรียกกันว่า “เฮดจิ้ง” นั่นเอง

ประกอบกับ การยกเลิกนโยบาย Bretton Woods system ของรัฐบาล ในสมัยของประธานาธิบดี ริชาร์ด นิคสัน ในปี 1971 ยิ่งทำให้ราคาทอง พุ่งพรวดพราด ไปถึงเกิน $870 ในปี1980 ดังที่เราเห็นในภาพ (พอจะคุ้นๆมั๊ยคะว่า ภาพมันเหมือนกราฟราคาทองในปัจจุบัน นี้เลย)

หลังจากนั้น ราคาทองก็ดิ่งต่ำลงในปีเดียวกัน เมื่อมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปสูงสุดถึง 20% ดอลล่าร์กลับมามีเสถียรภาพ มีการค้นพบแหล่งทองคำใหม่ๆ 

ราคาทองวิ่งขึ้นลงอยู่ในช่วง $300-$500 ในช่วงปี1980-1989 และตกต่ำต่อเนื่องตลอด เมื่อสงครามเย็น จบสิ้นลง ต้นปี1990 และลงทำจุดต่ำสุดที่ $252.80 จากผลกระทบของ“วิกฤติต้มยำกุ้ง” ที่ทำให้ IMF และประเทศต่างๆ ขายทองออก เพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดมาใช้ในการประคองเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง ในปี 1996
  

ในปี 2001 เมื่อเศรษฐกิจจีนและอินเดีย มีการเติบโตอย่างสูง รวมทั้งการเกิดเหตุการณ์ 11 ก.ย. ราคาทองกลับเข้าเทรนด์ขาขึ้นอีกรอบ และกลับขึ้นมาทำนิวไฮท์ใหม่อีกครั้ง ในปี 2008 ที่เกิด “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์”  หลายประเทศย่ำแย่ไปตามๆกันกระทั่ง เงินยูโร ยังแทบจะพัง ทำให้เฟดต้องอัดเงิน QE เข้าระบบ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาลงต่ำสุดที่ 0.25% คนกลัวว่าเงินจะเฟ้อก็หันไปซื้อทองคำกัน ทำให้ราคาทอง ขึ้นไปที่ $872 และทำนิวไฮท์ที่ $1891.9 ในปี 2011  ก่อนจะตกลงมา ในปี 2013 เมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น และเฟดประกาศลดการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ  ราคาทองตกลงไปเรื่อย จนถึงต่ำสุดที่  $1,072.35 ในปี 2015 เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาแข็งแกร่งและมีการคาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไป

หลังจากนั้นวิ่งไปมาอยู่ในช่วง $1200-$1600 ก่อนจะทะลุ $2000 อีกครั้ง ในปี 2020 ที่เกิดโควิด นับเป็นจุดเริ่มวัฐจักรขาขึ้นของทองอีกครั้ง ในรอบนี้

และในครั้งนี้(ณ วันที่ 24 เม.ย. 2568) มีการปรับตัวของระดับราคาทองขึ้นไปอย่างมาก ที่เกิน$3,500 เนื่องจากผลกระทบจากการประกาศใช้ภาษีนำเข้าต่อประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีน ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568

ณ ปัจจุบัน ที่ยังมีความผันแปรปั่นป่วน อยู่ตลอด เวลา ทั้งทางฝั่งสหรัฐอเมริกาเอง และประเด็นสำคัญคือ ทางฝั่งจีน ว่าจะยอมตามที่สหรัฐอเมริกา ต้องการหรือไม่ 

หากการเจรจา จบลง ด้วยดี อย่างรวดเร็ว
ราคาทองจะตกลงมาอย่างรวดเร็ว

ในทางตรงกันข้าม หากการเจรจายืดเยื้อ 
ราคาทอง ก็จะยังคงอยู่ในระดับสูง

และสงครามการค้า(สงครามเย็น) นี้กลายเป็นสงครามที่มีการใช้อาวุธ กันจริงๆ
ราคาทองจะเป็นอย่างไร?

เป็นคำถาม ที่เราต้องไปค้นคว้าดูว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองนั้นเป็นอย่างไร

แม้ไม่มีอะไรการันตีได้ว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหรือไม่ แต่จากที่ผ่านๆมา ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย…

จะเห็นได้ว่า ราคาทองไม่ได้วิ่งขึ้นอย่างเดียว
ขึ้นแรงก็ลงแรง แล้วมีระยะเวลาในการสะสมพลังอยู่เป็นระยะเวลานาน หากเราเข้าซื้อผิดจังหวะ อาจจะต้องรอไปอีกนาน ในอดีตเคยมีระเวลาที่ราคาทองตกต่ำ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน หลักสิบปี   แต่รอบนี้ อาจจะกินเวลามากกว่าสิบปี เพราะ อย่าลืมว่ารอบนี้ราคาทองวิ่งขึ้นมาจากปี 1940  ซึ่ง ถ้าเราคำนวณคร่าวๆว่า ทุกครั้งที่ราคาทองขึ้นมานั้น จะใช้เวลาพักเท่าๆกันกับระยะเวลาที่ใช้ในการขึ้นมา  รอบพักถัดไป อาจจะกินเวลานานถึง 2040-ปีที่เริ่มขึ้นจริงจัง2004=36ปี (หรือถ่าคำนวจากปี1940ก็ 100ปี)  ซึ่งที่คำนมานี้ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอนนะคะ เป็นเพียงสมมุติฐานว่า มันก็มีโอกาสเหมือนกันที่อาจจะออกมาในรูปแบบนี้ก็ได้

หมายเหตุ
AI ทำนายว่า ในปี 2540 ราคาทองจะอยู่ที่ $6,800 และในปี2050 ราคาทองจะอยู่ที่  $0.031999 ซึ่งฟังดูแล้ว ไม่น่าเชื่อ อย่างน้อยมันต้องแพงกว่าราคาข้าวขิงสิ ดูที่ผ่านมา ค่าเงินลดต่ำลงมาก เนื่องจากเงินเฟ้อ ราคาข้าวของขึ้นมาสิงสามเท่าในรอบยี่สิบปี และขึ้นมาเป็นร้อยเท่า หากเทียบกับ 100ปีก่อน…จะให้ราคาไปเหลือต่ำกว่า $50 ได้อย่างไร

ทว่า…อะไรที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่นมีการค้นพบเหมืองทองคำขนาดใหญ่ จนใครๆก็ไม่ต้องการทองคำอีกต่อไปแล้ว เพราะในยุค 6G เราสามารถมิวเห็นไปได้ถึงใต้ท้องทะเล และเมื่อถึงยุค 7G..8G โลกกลมๆใบนี้ ก็อาจจะไม่สามารถซ่อนเร้นอะไรที่เป็นความลับได้อีกต่อไป

หรือเช่นถ้าสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มีราคาลดต่ำลงมาก เนื่องจากมีการใช้ AI ทำให้ประสิทธิภาพ ในการผลิต/บริการดีขึ้น ค่าเงินก็จะใหญ่ขึ้น ยกตัวอย่างแบบเว่อน์ๆคือ ข้าวหนึ่งจาน อาจจะราคา 5บาท เป็นต้น

และอีกอย่างคือ ราคาทอง spot gold นั้น เป็นราคาเทรดบนหน้ากระดานเหมือนกับน้ำมัน ซึ่งราคาน้ำมันเคยลงไปติดลบ(แปลว่าคนขาย นอกจากจะต้องส่งมอบน้ำมันแล้วยังต้องจ่ายเงินให้กับคนซื้อด้วย ซึ่งในทางการค่าจริงๆแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้) 

เช่นเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่น ก็เคยลงไปติดลบเช่นกัน ซึ่งใครๆก็คงคาดกันไม่ถึง เพราะทุกคนคิดว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่การไปกู้ยืมเงินมา นั้นจะได้ผลทอบแทนด้วย(ปกติแล้วจะต้องจ่ายดอกเบี้ย ให้กับคนที่ให้กู้ยืมเงิน)

บทความที่คุณอาจสนใจ↓

สงครามเวียดนาม เกิดขึ้นเมื่อใด?!!?

Post a comment

Sign in with Google to post a comment

2 comments

  • Author Images
    Cameron Williamson
    Nov 23, 2018 at 12:23 pm

    Duis hendrerit velit scelerisque felis tempus, id porta libero venenatis. Nulla facilisi. Phasellus viverra magna commodo dui lacinia tempus. Donec malesuada nunc non dui posuere, fringilla vestibulum urna mollis. Integer condimentum ac sapien quis maximus.

    • Author Images
      Rahabi Khan
      Nov 23, 2018 at 12:23 pm

      Pellentesque habitant morbi tristique senectus et netus et malesuada fames ac turpis egestas. Suspendisse lobortis cursus lacinia. Vestibulum vitae leo id diam pellentesque ornare.

  • Author Images
    Rahabi Khan
    Nov 23, 2018 at 12:23 pm

    Duis hendrerit velit scelerisque felis tempus, id porta libero venenatis. Nulla facilisi. Phasellus viverra magna commodo dui lacinia tempus. Donec malesuada nunc non dui posuere, fringilla vestibulum urna mollis. Integer condimentum ac sapien quis maximus.

Instagram